หลังจากทางโลโม่ปล่อยหมัดเด็ดด้วยการเปิดตัวฟิล์มสีใหม่ที่ชื่อ Metropolis เมื่อตอนต้นปี ยังไม่ทันไรเลย มาอีกแล้ว!! คราวนี้มาพร้อมกล้องซะด้วย เฮือกกก ขอหายใจแป็บนะโลโม่
SIMPLE USE FILM CAMERA
LOMOCHROME METROPOLIS
ชื่ออาจจะยาวๆหน่อย ไม่เป็นไร ขอเรียกว่า กล้อง Lomo Metropolis ละกันครับ , มาเริ่มกันที่สเปกของกล้องกันนิดนึงก่อนครับ รายละเอียดไม่ได้มีเขียนไว้แต่คาดว่าน่าจะประมาณนี้
- ตัวกล้องสามารถเปลี่ยนฟิล์มใส่ใหม่ได้
- เลนส์ ราวๆ 30-32 mm.
- f.stop และ shutter speed ราวๆ f.8-11 / 120s
- ระยะโฟกัส 1 เมตรขึ้นไป
- มีแฟลชในตัว โดยใช้พลังจาก ถ่าน AA 1 ก้อน ที่มีมาให้แล้ว
- ระยะยิงแฟลชประมาณ 1-2 เมตร
- มีแผ่นฟิวเตอร์แฟลชมาให้ ใช้สำหรับเปลี่ยนสีแฟลชตอนถ่าย
- โหลดฟิล์ม Lomochrome Metropolis มาให้แล้ว ถ่ายได้ 27 ภาพ
- ราคา 890 บาท
มาดูหน้าตากัน
ในส่วนของการใช้งานนั้นง่ายมากครับ
1.เลื่อน แป้นเลื่อนฟิล์ม ที่ด้านหลังกล้อง ไปทางขวาจนมันสุด
2.เล็งในช่องมองภาพเพื่อจัดองค์ประกอบ
3.กดชัตเตอร์เพื่อถ่าย
4.เริ่มถ่ายภาพต่อไปก็เริ่มขั้นตอนที่ 1-3 อีกรอบ
ในกรณีแสงน้อยต้องการเปิดแฟลช ให้กดปุ่มเปิดแฟลชค้างไว้จนไฟที่ด้านบนกล้องสว่างแฟลชจึงจะพร้อมทำงาน
ถึงการใช้จะง่ายแต่เราควรจะรู้ด้วยนะครับว่ากล้องประเภทนี้มันปรับแต่งค่าในการถ่ายไม่ได้ และมันถูกออกแบบมาให้ใช้งานในที่ที่มีแสงสว่างพอสมควร เช่น กลางแจ้ง แดดดีดี และถ้าเราเข้าในร่มหรือในอาคาร ต้องเปิดแฟลชเท่านั้นครับไม่งั้นมืดตึ้บ
ผมเองใช้วิธีหาแอปวัดแสงติดมือถือไว้ เพื่อเช็คค่าแสงก่อนถ่ายครับ ผมตั้งให้แอปวัดแสงที่ iso 400 ตามฟิล์มของกล้องรุ่นนี้ แล้วยกมาเช็คในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยแน่ใจว่าต้องเปิดแฟลชไหม คือถ้าสมมุติยกขึ้นมาแล้วแอปวัดแสงที่ f.11 ได้ค่า shutter speed ต่ำกว่า 125s ผมจะเปิดแฟลชตอนถ่ายครับ แต่ถ้าได้มากกว่าหรือเท่ากับ 125s ก็ไม่ต้องเปิดแฟลชก็ได้
และอีกเรื่องคือตอนมองในช่องมองภาพควรกะไว้นิดนึงนะครับว่าภาพที่ออกมาจะมีพื้นที่กว้างกว่าที่เราเห็น
ก่อนหน้าที่จะได้กล้องตัวนี้มานั้น แสงสว่างในกทม.ดีมากครับ เหมาะกับการลองกล้องสุดๆ ผมก็หาวันว่างเลย กะว่าจะไปลองถ่ายช่วงบ่ายๆตามที่เที่ยวต่างๆ ปรากฎว่าวันนั้นเมฆครับ มาจากไหนไม่รู้ คือครึ้มกันทั้งประเทศ ทำไงได้ออกจากบ้านมาแล้วก็ต้องลองครับ มามาไปดูภาพกันหน่อย
หลังจากบ่ายผ่านไป ก็เข้าสู่ช่วงเย็นที่ต้องพึ่งแสงเอียงๆที่สวยๆครับ
ก็ประมาณนี้ครับ เท่าที่ออกมาโทนสีของภาพก็เป็นไปตามที่คิดครับ คือสวยเหมือนเวลาที่ถ่ายด้วยฟิล์ม Metropolis ที่ออกมาก่อนหน้านี้
สรุปคร่าวๆ
- คอนทราสสูง แต่โทนสีไม่ฉูดฉาด พื้นที่เงาจะเข้มๆ
- ภาพจะคมสุดที่กลางภาพ และจะค่อยๆเบลอขึ้นที่ขอบ
- มีเกรนเม็ดเล็กๆให้เห็นทั้งภาพกลางแจ้งและในร่ม แต่สวยครับไม่ได้ใหญ่โตจนดูไม่งาม
- ภาพจะบิดเบี้ยวอยู่บ้าง จะเห็นได้จากถ้าถ่ายอะไรที่มีเส้นตรงๆ
- แผ่นฟิวเตอร์สีแฟลช แรกๆจะหมุนยากมาก แต่พอผ่านไปซักพักก็ลื่นขึ้นครับ
- อย่าขึ้นฟิล์มทิ้งไว้ล่วงหน้า เพราะอาจเผลอไปกดชัตเตอร์ได้ ผมโดนไปรูปนึงเพราะดันขึ้นฟิล์มไว้แล้วเอากล้องใส่กระเป๋ากางเกง
- กล้องพกง่ายมากเล็กๆ เบาๆ สบายๆ
อ่ะตามประเพณีของอะฟิล์ม เนื่องจากกล้องตัวนี้มันสามารถโหลดฟิล์มใหม่ได้หลังจากที่ถ่ายเสร็จแล้ว ทำให้ถ้ารักษาดีๆก็ใช้ได้ยาวๆครับ วันนี้ก็เลยขาดไม่ได้มาดูวิธีโหลดฟิล์มกัน
ในกรณีฟิล์มหมด จะเอาฟิล์มออกจะเป็นแบบนี้ครับ
และถ้าจะโหลดฟิล์มใหม่ก็ตามนี้ครับ
ก็ประมาณนี้ครับผม ส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันเป็นกล้องที่เหมาะกับวันสบายๆ ที่ต้องออกกลางแจ้ง เพราะพกพาสะดวกมาก ในส่วนของราคา 890 บาทก็เรียกว่าแพงกว่าบรรดากล้องประเภทเดียวกันที่วางขายในท้องตลาด แต่ถ้าเอาไปเทียบกับกล้องแบบนี้แต่เปลี่ยนฟิล์มได้ ก็ทำให้รู้สึกว่ามันก็คุ้มค่าครับ เพราะนำกลับมาใช้ได้ใหม่เรื่อยๆ ถึงวัสดุจะไม่ได้คงทนมากนัก แต่ถ้ารักษาดีๆก็อยู่กันได้ยาวๆเหมือนกันนะครับ ยังไงลองพิจารณาดูกันนะครับผม
ถ้ามีโอกาสที่แดดดีๆผมจะลองออกไปถ่ายอีกซักรอบครับ วันนี้ขอตัวไปก่อนจ้า
โน้ต อะฟิล์ม